ลงทะเบียน/เข้าสู่ระบบ
เลขที่บัตรประชาชน :
รหัสผ่าน :
ลืมรหัสผ่าน
 
 
ลองคุยกับ AI อัจฉริยะ
น้องกุญชร
18.43
น้องกุญชร
สวัสดีจร้าาา...วันนี้มีอะไรให้น้องช่วยฮ่ะ ถามน้องกุญชรมาได้เลย จะรีบไปหาคำตอบให้ฮะ
18.43
 กำลังค้นหาข้อมูล...
ปรับขนาดตัวอักษร
โหมดการเข้าถึงสำหรับผู้พิการ
ภาษา
เข้าสู่ระบบ
ค้นหา
เทศกาลตรุษจีน
ยังไม่มีผู้ให้คะแนน

รุษจีน   หรือ “ชุงโจ้ย “(   ) คือวันที่ปราชญ์ชาวจีนแต่โบราณกำหนดให้ เป็นวันเริ่มต้นในรอบปี   ตามปฏิทินจันทรคติของจีน    นอกจากเป็นวันเริ่มต้นของปีแล้ว  ยังเป็นวันเปลี่ยนจากฤดู   “ตังที” “ ตง ที”(   )  อันหนาวเหน็บ  เข้าสู่ ฤดู “ชุงที ”( )  ที่มีแต่ความสุขสดชื่น  อบอุ่นมีชีวิตชีวา   สรรพสัตว์ตื่นจากจำศีล   ผลประกอบการทางการค้าที่มีกำไรส่งให้มีการจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้าง  และคนในครอบครัว   วันตรุษจีน  จึงเป็นวันแห่งความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ในรอบปี   มีการฉลองอย่างสนุกสนาน  ใหญ่โต  มีสีสัน  อย่างที่ทราบกัน  คนจีนเป็นผู้ที่ขยันขันแข็ง    ทำงานเช้ายันค่ำทุกวันแทบไม่มีวันหยุด  ปีละกว่า 300 วัน    จะมีวันหยุดที่เป็นล่ำเป็นสันก็ช่วงตรุษจีนประมาณ  5  วันเท่านั้น   เขาจึงใช้เวลาเหล่านั้นไปบำรุงบำเรอความ สุขตนอย่างเต็มที่   จับจ่ายใช้สอย  เช่นซื้อเสื้อผ้า   อาหารอย่างดี  เที่ยวเตร่ เป็นต้น

          วันตรุษจีน  มีมาแล้วประมาณ  3,600  ปี   หลักฐานทางประวัติศาสตร์  ปฏิทินจีนนั้นกำเนิดขึ้นเมื่อ  980  ปีก่อนพุทธกาล    สันนิฐานว่า  ตรุษจีนก็คงเริ่มมาในเวลาไล่เรี่ยกัน     ช่วงของเทศกาลตรุษจีน   ต่อเนื่องมา  ตั้งแต่วันสุดท้ายของเดือน  12  ของปฎิทินจีน ( แต่ไม่เสมอไปอาจเป็นวันอื่น   แต่ละปีจะไม่ตรงกัน   และเหตุที่ใช้คำว่า  ”วันสุดท้าย”  เพราะเดือน  ของจีนมีทั้ง  29 วัน  หรือ 30 วัน ไม่กำหนดแน่นอน ) 

          แต่พอผ่าน วันที่ 21  หรือ  22  ธันวาคม  (ตรงนี้ต้องใช้เดือนของเทศประกอบ)    เป็นวัน  “ตังโจ้ย” ( 冬   節 )   หรือเทศกาลกิน ” อี๊”( 圓  ) ขนมบัวลอย   ผู้ที่ผ่านวันนี้ไปแล้วพึงจำไว้   ท่านมีอายุเพิ่มขึ้นอีก  1  ขวบ  ” อี๊”  ส่วนหนึ่งจะเอาไปติดไว้ตามตู้กับข้าว  ผนัง   ตามข้างเตาไฟ  จุดอื่นในห้องครัวบ้าง   ในช่วงนี้จนถึงสิ้นปี  จะมีงิ้วแก้บน ที่เรียกว่า งิ้ว  “ เสี่ยซิ้ง “ ( 謝  神 ) กันแทบทุกศาลเจ้า ศาลพระภูมิ  หรือ โรงเจ  เยอะมากความจริงบางแห่งอาจมีมาก่อนหน้านี้แล้ว

           เหตุที่ต้องใช้เดือนของเทศประกอบเนื่องจากการคำนวณวัน  “ตังโจ๊ย”  ถือเอาวันที่เวลากลางวันสั้นที่สุดของปี   ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวของประเทศจีน  หรือประเทศซีกโลกทางเหนือ   วันที่ที่กำหนดว่าเป็นวัน“ตังโจ๊ย”     ให้ดูจากปี ค.ศ.  ปีที่หารด้วย  4 ลงตัวหรือปีที่เดือน กุมภาพันธ์มี  29 วัน    “ตังโจ๊ย”  จะเป็นวันที่  21 ธันวาคม

           จากนั้นก็จะถึงวันที่  24  ของเดือน 12  เป็นวัน “ซิ๊งเจี่ยที “  (神 上 天 )  ไหว้ส่ง เจ้าเตาไฟ  “เจ่าซิ้ง” ( 灶  神 ) ขึ้นไปเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้   บนสวรรค์   เพื่อรับเลี้ยงตรุษจีน และ เพ็ดทูลความเป็นไปของโลกมนุษย์   ความดีความชั่วของชาวบ้านต่าง ๆ  เง็กเซียนฮ่องเต้ก็รู้กันตอนนี้  จะได้นำไปคิดบัญชีต่อไป     คนจีนเลยไหว้เจ้าในวันนี้ด้วย  “ขนมหวาน    หรือ  ขนมบัวลอย ” ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว  โรยน้ำตาล  แผ่นบาง ที่หวาน และ เหนียว  เป็นการทำให้เทพเตาไฟ เพ็ดทูลเรื่องความไม่ดีในโลกมนุษย์ได้ไม่ถนัดปาก   เพราะขนมติดปาก  หรือ  รับสินบนชาวบ้านมา แล้วโดยไม่รู้ตัว   มิใช่มีแค่เจ้าเตาไฟเท่านั้นที่ขึ้นไปเฝ้า   เทพที่มีฐานะต่างก็ต้องขึ้นไปเฝ้าแหนเช่นกัน  เช่น เจ้าที่   ตี่จู๋เอี๊ย  เป็นต้น     

          หลังจากวันส่งเจ้าแล้ว   ชาวบ้านจะพากันทำความสะอาดบ้านเรือน  ห้องหอ  เป็นการขนานใหญ่   เตรียมไว้รับสิ่งดี ๆ ใหม่   ๆ  ในวันตรุษจีนกัน  บ้างก็จะทาสีบ้าน   ติดกระดาษสีแดงมีตัวอักษรจีนสีทอง  ติดประตูทางเข้าบ้านข้างละแผ่น  เรียกว่ากระดาษ  “ กลอนคู่ “  “ ตุ้ยเลี้ยง “ ( )หรือ คำอวยพรง่าย ๆ   เช่น  “ซิงเจียยู่อี่   ซิงนี้ฮวกไช้ “   ศกใหม่ให้สมดังหวัง  ปีใหม่ให้มั่งคั่งร่ำรวย  หรือ กลอนอื่น  ๆ  ที่เป็นศิริมงคล   ช่างเขียนอักษรจีนจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงนี้     เมื่อ  4 – 50  ปีก่อน  มีผู้ประดิษฐ์อักษรจากลวดลายต่าง เช่นนก  ผีเสื้อ ต้นไม้ ใบไม้ และ เดินไปเขียนให้ตามบ้านเรือนทั้งใน  กทม.  และ ต่างจังหวัด 

          ไคลแม็กซ์จริง ๆ    เทศกาลตรุษจีน   เริ่มตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีน   2  วัน   เรียกว่า  วันจ่าย”  เป็นวันที่แม่บ้านพ่อบ้านต้องไปจับจ่ายหาซื้อเครื่องเซ่นไหว้   อาหารการกินเตรียมไว้ช่วงตรุษจีนที่ร้านรวงปิดกันเป็นส่วนใหญ่     พอถึงวันสุดท้ายของเดือน 12    ซึ่งนิยมเรียกว่า  “ซาจับ” ( )  แม้บางปีจะเป็นวันที่  29 จะเป็น วันไหว้”    เริ่มกันตั้งแต่ช่วงเช้า จะเป็นการไหว้เจ้าที่  ( ตี่จู๋เอี๊ย ) ศาลพระภูมิ  ไหว้บรรพบุรุษตอนสาย     ตกบ่ายไหว้ “ หอเฮียตี๋ ”  ( )   ผี – วิญญาณไร้ญาติ  สัมภเวสี ที่ล่องลอยไปมาคอยรับส่วนบุญ  ซึ่งเป็นการ สะท้อนถึงจิตวิญญาณของชาวจีนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้กับวิญญาณคนตายที่ตนไม่รู้จัก จากนั้น ก็จะมีการแจกเงินก้นถุง  แก่บรรดาลูกหลาน บริวาร    ใส่ซองแดงเรียกว่า “ อั่งเปา ”  ( )(เงินแต๊ะเอีย  เงินโบนัส  แล้วแต่จะเรียก ) แล้วกิจการงาน การค้าจะสะดุดอยู่ตรงนั้นไปอีกหลายวัน  เงินอั่งเปานี้สมัยก่อน  เด็ก ๆ จะได้สตางค์แดง  หรือ สตางค์ดีบุก  ตั้งแต่ 1 สตางค์ ไปจนถึง 20  สตางค์  ที่เป็นเหรียญมีรูตรงกลาง  ร้อยด้าย - เชือกสีแดง ปัจจุบันเป็นแบ๊งค์สีต่าง ๆ ใส่อยู่ในซองสีแดงสดใส 

          ซาจับแม้  “ (       ) คืนวันสุกดิบ   คืนวันสุดท้ายของเดือน 12  ต่อวันตรุษจีน ชิวอิก ”( )ซึ่งเป็นวันถือ ”หัวค่ำชาวจีนจะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย  ไหว้พระไหว้เจ้า    เตรียมตัวรอรับ “ ไฉ่สิ่งเอี๊ย ” (       ) เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย  หรือ  เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เทพเจ้าแห่งเงินตรา  เพื่อความเป็นศิริมงคล   มีความร่ำรวยยิ่ง  ๆ  ขึ้นไปในปีใหม่ 

           “ ชิวอิก ”   เป็น “ วันถือ ” หรือ  “ วันเที่ยว “ เป็นวันที่เขาถือกันว่าจะไม่ด่า  ไม่พูดคำหยาบคาย  ไม่นินทาว่าร้าย คิด ห้ามทวงหนี้ ให้ทำแต่สิ่งที่ดี  พุดดี  ใช้มธุรสวาจา  พูดสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี    ไม่ตีแม้แต่ลูก หลานที่ทำความผิด เวลาลูกหลานทำสิ่งของแตก  ก็อาจจะพูดว่า  อ้อ...ดีดี  ชามมันอ้าออกเพื่อรับโชคลาภ  เป็นต้น     อาหารเช้าจะเป็นอาหารเจ1มื้อ หลังจากนั้น หมู เห็ด เป็ด ไก่บรรดามีที่ใช้ไหว้เจ้า  ไหว้บรรพบุรุษก็จะนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานต่อไปอีกหลายวันโดยไม่ต้องออก ไปซื้อหา  วันชิวอิก  ถึง  ชิวซา  ( 初 三 ) หรือ ในระหว่างช่วงตรุษจีน   ก็จะมีการไปมาหาสู่ในระ หว่างญาติมิตร  ที่ไม่ได้พบกันมาตลอดทั้งปี  หรือ ไปขอพรพ่อแม่  เป็นต้น    เวลาไปเยี่ยมต้องนำ  “ ไต่กิก “ ( 大 桔)  ผลส้มไป  2 หรือ  4  ลูก หรือ ขอให้เป็นจำนวน “ คู่ “ และจะมีการแลกเปลี่ยนส้มกัน โดยผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจะรับส้มไปครึ่งหนึ่ง  หรือ  ทั้งหมด และนำส้มในบ้านมาใส่กลับไปในจำนวนเท่า ๆ กัน    เป็นการรับ-ส่งความสุขซึ่งกันและกัน    เจ้าของบ้านจะเลี้ยงน้ำชาแกล้ม “ แต่เหลี่ยว หรือ ขนมจันอับ “ หรือ “ จับกิ้ม “ ( 什 錦 ) แก่ญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยียนอวยพร  วันตรุษจีนเป็นช่วงที่เด็ก ๆ จะชอบมากเป็นพิเศษ   เนื่องจากได้ทั้งเงินแตะเอีย   มีเครื่องแต่งกายใหม่  ๆ สีสันสดใส    ยังได้ไปเที่ยวสนุกสนานตามแหล่งที่หมายตาไว้อีกด้วย    สีเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเป็นสีที่เป็นมงคลเช่น สีแดง   และไม่ใส่สีที่เป็นอัปมงคล เช่น สีดำเป็นต้น   หากหลีกเลี่ยงได้จะไม่แตะต้องของมีคม  เช่นมีด  เข็ม  เกรงว่าจะบาดนิ้ว  บาดตัว เป็นการตัดโชคลาภของตนเอง และไม่ทำสิ่งของแตกหักเสียหายอันจะเป็นลางไม่ดี

          หลังเยี่ยมญาติ ความสนุกสนานก็จะเป็นสิ่งที่เขาทำกันเต็มสติกำลัง   บ้างก็ไปทำบุญทำทานตามศาลเจ้า  โรงเจที่ตนนับถือ  พากันถ่ายรูปกันทั้งครอบครัวเป็นที่ระลึก   จนถึงชิวสี่ ( 初 四 )หรือ  ชิวโหงว ( 初 五) จึงจะกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานทำการกันต่ออีก 300 กว่าวันเพื่อเก็บเงินเก็บทองไว้ฉลองตรุณจีนในปีต่อไป

          ชิวสี่ “ วันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน  ที่ส่วนใหญ่กำหนดให้เป็นวันเริ่มงาน   เป็นวันที่ รับ “ เจ่าซิ้ง”    เทพเจ้าเตาไฟ  และ เทพเจ้าองค์อื่น ๆ กลับจากเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้  เรียกว่าวัน “ซิ้งเลาะที” ( 神 下  天 )

          ชิวฉิก” ( 初 七 )  วันที่  7  ของเทศกาลตรุษจีน     เป็นวันที่กำหนดให้มีการรับประทานอาหารประเภทผัก  7  อย่าง  ที่เรียกว่า  “ชิกเอี่ยไฉ่”  (七  樣  菜 )  ซึ่งโดยมากจะเอาผักต่าง  ๆ  มาผัด  หรือ  ต้มจับไฉ่  ผักนานาชนิดที่นำมาเป็นเครื่องปรุงในวันนี้จะสรรค์หาผักที่มีชื่อ และความหมายที่เป็นมงคล  อาจจะเปลี่ยนแปรไปบ้างแล้วแต่รสนิยม  และ ความเชื่อ  หรือ  ผลิตผลในแต่ละท้องถิ่น บ้างก็ถือเอาวันที่ 6  เรียก “ หลักเอี่ยไฉ่ “แต่ในเมืองไทย ต้อง“ฉิกเอี่ยไฉ่“ 

          ผักมงคล  7  อย่าง  โดยมากจะประกอบด้วย                                                                                                 

1.   คึ่งไฉ่        ไปพ้องเสียงกับ “ คึ้ง “  ( 勤 )  แปลว่ามีความเพียร  วิริยะ   ขยัน
2.  ชุงไฉ่         พ้องกับคำว่า “ ชุง ” (  春 )  ฤดูใบไม้ผลิ   หมายถึงความสดชื่นมี ชีวิตชีวา   อีกคำหนึ่ง  伸   ชุง  แปลว่า  ยืด  หรือ ยื่นที่ถูกดึงไปเข้ากับความหมายว่า มีโอกาศยืดหน้า ยืดตากับเขาได้บ้าง
3.  เก่าฮะ  เก๋าฮะ       ผักเขียว  ๆ  ใบหนา ๆ   ความหมายคือ  ความซื่อสัตย์  ความน่าเชื่อถือ  เจ้าสาวที่แต่งงานไปในครอบครัวคนจีนที่ยังเคร่งอยู่ก็จะได้รับประทานผักตัว  นี้ เพื่อให้ซื่อสัตย์ต่อสามี   ส่วนคนไทยเชื้อสายจีน  ดึงมาเป็นพวกเสียเลย เก๋าจึงเป็นศัพย์แสลง  แปลว่า แน่  แปลว่า   ผู้ชำนาญการ  เช่น  เกียรติศักดิ์   เสนาเมือง  เป็นศูนย์หน้าที่ “ เก๋าเกมส์ ”  เป็นต้น    แต่บางครั้งผัก  เก๋าฮะ  นี้   เขาก็ใช้   แป๊ะฮะ  百合    แทนก็มี ซึ่งก็แปลว่าเป็นผู้ที่เข้าได้กับทุกคน   เข้าได้  กับทุกสถานะการณ์พ้องเสียงกับคำว่าสมานฉันท์  เข้าได้หมดไร้ปัญหา  NO  PROBLEM
4.  สึ่ง        ต้นกระเทียม  พ้องเสียงกับคำว่า  “ สึ่ง “  ( 算 ) แปลว่า “นับ” คนจีนถือว่า คนนับเลขเป็นก็จะเป็นพ่อค้าพ่อขายจะร่ำรวย
5.  ตั้วไฉ่       ผักกาดเขียว มีความหมายว่าใหญ่โต  ยิ่งใหญ่
6.  ไช่เท้า         เป็น  “ อาเท้า “  เป็นหัวหน้า  คือได้เป็น เจ้าคนนายคน หรือไปพ้องกับ  “ไช้” ( 財 ) แปลว่า   โชคลาภ  มีลาภ            
7.  คะน้า          หมายถึงที่หนึ่งในตะกร้า  คำว่า“ กะ”( 甲  )เมื่อไปผสมกับ คำว่าประเทศ หรือ โลก ก็แปลว่ายอดเยี่ยม เป็นที่หนึ่งในโลก จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผักตัวนี้

          ชื่อผักชนิดต่าง ๆ  ข้างต้น  ต้องบอกไว้ในที่นี้ว่า  เป็นเรื่องของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีอิทธิพลของความเชื่อของจีนแ ต้จิ๋ว เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก   เพราะบางชื่อหากผิดไปจากเมืองไทยแล้ว   ชาวจีนอื่นเขาอาจมีผักตัวอื่น มาแทนกันการกำหนดให้รับประทานผัก  7  อย่าง    น่าจะเป็นกุศโลบายของนักปราชญ์แต่โบร่ำโบราณ   การที่จะบอกให้คนที่รับประทานหมูเห็ดเป็ดไก่  ร่ำสุรา มาตลอดเป็นเวลาหลายวัน  ไปถ่ายท้องเสียบ้าง  คงมีคนเชื่อยาก    เลยหากลวิธีให้กินผักซึ่งมีกากใย มากจะได้มีสุขภาพดี   เลยให้กำหนดเป็นอาหารผัก  แต่แนะนำอย่างเดียวคงยากเลยลากบาลีเข้าวัดเสียเลยจะได้ขลัง  ให้ออก ไปทางมงคลเสียบ้าง   คนเราชอบอะไร  ๆ ที่เป็นสิ่งดี  ๆ จึงถือเป็นประเพณีที่ต้องกินผัก7  อย่างที่เป็นศิริมงคล กันมาตั้งแต่โบราณ

          ช่วงปีใหม่จะมีวันสำคัญอีก 1 วันคือ  “ชิวเก้า “ ( 初 九 )   ถือเป็นวันเกิดเทพยดาฟ้าดิน เรียกว่าวัน “ ทีกงแซ “ ( 天 公 生 )  ในคืนวันที่  8  เรียกว่า “ชิวโป๊ยแม้”  ( 初 八 夜 )  ช่วงเวลา

          ใกล้เที่ยงคืนต่อวันที่  9   มีพิธีบูชาดาวนพเคราะห์   หรือ  ดาวประจำวันเกิด     ในวันนี้บางแห่งจะมีการบูชาเทพยดาฟ้าดิน   เพื่ออธิษฐาน  หรือ “ บน “  ขอพรสะเดาะเคราะห์ในช่วงปีใหม่   ดังเช่น ที่ป่อเต็กตึ๊งจัดให้มีการลงชื่อ “พะเก่ง “ (拍敬)หรือ “ฮกเก่ง”( ) ในช่วงตรุษจีน จน ถึงวันง่วงเซียว  ( แล้วจะต้องไป “แก้บน “ ในช่วงปลายปีประมาณเดือน  11  ที่ศาลเจ้าหลายแห่งจะจัดให้มีงิ้วแก้บน ที่เรียกกันว่า  “ เสี่ยซิ๊ง “ เรียกว่า “ขอบคุณพระเจ้า” อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรก )พุทธศาสนิกชนจะทำบุญ  และ เวียนเทียน เวียนธูป อธิษฐาน รอบอุโบสถ หรือ ศาลเจ้า  3  รอบ  ตั้งจิตอธิษฐาน  ระลึกพระคุณเทพยดาฟ้าดิน   ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ  เช่น หลวงปู่ไต้ฮง  ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่     บางแห่งอาจมีการแจกของหวาน    เป็นการเสร็จพิธี    ใครที่ไปเที่ยวไกล  ๆ  ก็จะพากันกลับมาในวันนี้    วันชิวเก้า  หรือ วันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีน  ก็จะมีการทำบุญที่เป็นกิจกรรมของตรุษจีนไปจนถึงมืดค่ำ 

          อย่างไรก็ตาม   งานเทศกาลตรุษจีนหาได้หยุดลงในวันที่ 9 ไม่      กิจกรรมทำบุญยังคงมีต่อเนื่อง  แต่ไม่เอิกเกริก   ตรุษจีนจะไปสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงในวันเทศกาล  “ง่วงเซียว”   (   )   หรือ   เทศกาลชาวนา    (พิธีต่าง  ๆ  ที่จัดขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าเป็นพิธีของคนสังคมการเกษตรอย่างแท้จริง     โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปฏิทินตามจันทรคติจีนนั้นมีชื่อเรียกว่า หล่งและ”        แปลตรงตัวว่า  ปฏิทินการเกษตร )    เป็นวันที่ 15  ของเดือน 1   คือ เจียง้วยจับโหงว” ( 十五 )   แล้ว   เพราะหลังจากนี้แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่ต้องกลับไปทำนาในท้องไร่ท้องนา ศาล เจ้าต่าง ๆ  จะมีการประมูลสิ่งของที่ ประธานจัดงานจัดหามา     เพื่อนำเงินไปบูรณะศาลเจ้า  หรือ นำไปทำทานต่อไป    บางแห่ง ไม่มีการประมูลสิ่งของเช่นที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง     ก็จะมีขนมหวาน  น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลผสมถั่วลิสงปั้นเป็นรูปสิงโต สำหรับบูชาไว้บริการให้กับญาติโยมที่มาทำบุญ  บ้างก็เอามาทำบุญเพิ่มขึ้นอีก 1 คู่จากที่ปีที่ผ่านมาได้รับขนมสิงโตไปบูชาที่บ้าน  1  คู่  เพื่อให้ศาลเจ้าไว้บริการให้ผู้ที่ประสงค์จะมาทำบุญ   เป็นการหารายได้เข้าวัด เข้าศาลเจ้าอีกวิธีหนึ่ง    ซึ่งแล้วแต่นโยบายของแต่ละแห่ง     หลังจากวัน ง่วนเซียว ”  ผู้คนที่ทำมาค้าขาย  เป็นลูกจ้างก็จะเริ่มดำเนินกิจการค้ากันอย่างเต็มที่    เพราะเสร็จสิ้นกระบวนการของ “ตรุษจีน”  แล้วโดยสมบูรณ์   บางแห่งจะมีงิ้วฉลองขึ้นปีใหม่   จึงจะถือว่าสมบูรณ์ก็มี   

 

ขอบคุณข้อมูลจาก pohtecktung.org