ตรุษจีน หรือ “ชุงโจ้ย “( 春 節 ) คือวันที่ปราชญ์ชาวจีนแต่โบราณกำหนดให้ เป็นวันเริ่มต้นในรอบปี ตามปฏิทินจันทรคติของจีน นอกจากเป็นวันเริ่มต้นของปีแล้ว ยังเป็นวันเปลี่ยนจากฤดู “ตังที” “ ตง ที”( 冬 天 ) อันหนาวเหน็บ เข้าสู่ ฤดู “ชุงที ”( 春 天 ) ที่มีแต่ความสุขสดชื่น อบอุ่นมีชีวิตชีวา สรรพสัตว์ตื่นจากจำศีล ผลประกอบการทางการค้าที่มีกำไรส่งให้มีการจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้าง และคนในครอบครัว วันตรุษจีน จึงเป็นวันแห่งความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ในรอบปี มีการฉลองอย่างสนุกสนาน ใหญ่โต มีสีสัน อย่างที่ทราบกัน คนจีนเป็นผู้ที่ขยันขันแข็ง ทำงานเช้ายันค่ำทุกวันแทบไม่มีวันหยุด ปีละกว่า 300 วัน จะมีวันหยุดที่เป็นล่ำเป็นสันก็ช่วงตรุษจีนประมาณ 5 วันเท่านั้น เขาจึงใช้เวลาเหล่านั้นไปบำรุงบำเรอความ สุขตนอย่างเต็มที่ จับจ่ายใช้สอย เช่นซื้อเสื้อผ้า อาหารอย่างดี เที่ยวเตร่ เป็นต้น
วันตรุษจีน มีมาแล้วประมาณ 3,600 ปี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปฏิทินจีนนั้นกำเนิดขึ้นเมื่อ 980 ปีก่อนพุทธกาล สันนิฐานว่า ตรุษจีนก็คงเริ่มมาในเวลาไล่เรี่ยกัน ช่วงของเทศกาลตรุษจีน ต่อเนื่องมา ตั้งแต่วันสุดท้ายของเดือน 12 ของปฎิทินจีน ( แต่ไม่เสมอไปอาจเป็นวันอื่น แต่ละปีจะไม่ตรงกัน และเหตุที่ใช้คำว่า ”วันสุดท้าย” เพราะเดือน ของจีนมีทั้ง 29 วัน หรือ 30 วัน ไม่กำหนดแน่นอน )
แต่พอผ่าน วันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม (ตรงนี้ต้องใช้เดือนของเทศประกอบ) เป็นวัน “ตังโจ้ย” ( 冬 節 ) หรือเทศกาลกิน ” อี๊”( 圓 ) ขนมบัวลอย ผู้ที่ผ่านวันนี้ไปแล้วพึงจำไว้ ท่านมีอายุเพิ่มขึ้นอีก 1 ขวบ ” อี๊” ส่วนหนึ่งจะเอาไปติดไว้ตามตู้กับข้าว ผนัง ตามข้างเตาไฟ จุดอื่นในห้องครัวบ้าง ในช่วงนี้จนถึงสิ้นปี จะมีงิ้วแก้บน ที่เรียกว่า งิ้ว “ เสี่ยซิ้ง “ ( 謝 神 ) กันแทบทุกศาลเจ้า ศาลพระภูมิ หรือ โรงเจ เยอะมากความจริงบางแห่งอาจมีมาก่อนหน้านี้แล้ว
เหตุที่ต้องใช้เดือนของเทศประกอบเนื่องจากการคำนวณวัน “ตังโจ๊ย” ถือเอาวันที่เวลากลางวันสั้นที่สุดของปี ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวของประเทศจีน หรือประเทศซีกโลกทางเหนือ วันที่ที่กำหนดว่าเป็นวัน“ตังโจ๊ย” ให้ดูจากปี ค.ศ. ปีที่หารด้วย 4 ลงตัวหรือปีที่เดือน กุมภาพันธ์มี 29 วัน “ตังโจ๊ย” จะเป็นวันที่ 21 ธันวาคม
จากนั้นก็จะถึงวันที่ 24 ของเดือน 12 เป็นวัน “ซิ๊งเจี่ยที “ (神 上 天 ) ไหว้ส่ง เจ้าเตาไฟ “เจ่าซิ้ง” ( 灶 神 ) ขึ้นไปเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ บนสวรรค์ เพื่อรับเลี้ยงตรุษจีน และ เพ็ดทูลความเป็นไปของโลกมนุษย์ ความดีความชั่วของชาวบ้านต่าง ๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ก็รู้กันตอนนี้ จะได้นำไปคิดบัญชีต่อไป คนจีนเลยไหว้เจ้าในวันนี้ด้วย “ขนมหวาน หรือ ขนมบัวลอย ” ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว โรยน้ำตาล แผ่นบาง ที่หวาน และ เหนียว เป็นการทำให้เทพเตาไฟ เพ็ดทูลเรื่องความไม่ดีในโลกมนุษย์ได้ไม่ถนัดปาก เพราะขนมติดปาก หรือ รับสินบนชาวบ้านมา แล้วโดยไม่รู้ตัว มิใช่มีแค่เจ้าเตาไฟเท่านั้นที่ขึ้นไปเฝ้า เทพที่มีฐานะต่างก็ต้องขึ้นไปเฝ้าแหนเช่นกัน เช่น เจ้าที่ ตี่จู๋เอี๊ย เป็นต้น
หลังจากวันส่งเจ้าแล้ว ชาวบ้านจะพากันทำความสะอาดบ้านเรือน ห้องหอ เป็นการขนานใหญ่ เตรียมไว้รับสิ่งดี ๆ ใหม่ ๆ ในวันตรุษจีนกัน บ้างก็จะทาสีบ้าน ติดกระดาษสีแดงมีตัวอักษรจีนสีทอง ติดประตูทางเข้าบ้านข้างละแผ่น เรียกว่ากระดาษ “ กลอนคู่ “ “ ตุ้ยเลี้ยง “ ( 對 聯 )หรือ คำอวยพรง่าย ๆ เช่น “ซิงเจียยู่อี่ ซิงนี้ฮวกไช้ “ ศกใหม่ให้สมดังหวัง ปีใหม่ให้มั่งคั่งร่ำรวย หรือ กลอนอื่น ๆ ที่เป็นศิริมงคล ช่างเขียนอักษรจีนจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงนี้ เมื่อ 4 – 50 ปีก่อน มีผู้ประดิษฐ์อักษรจากลวดลายต่าง เช่นนก ผีเสื้อ ต้นไม้ ใบไม้ และ เดินไปเขียนให้ตามบ้านเรือนทั้งใน กทม. และ ต่างจังหวัด
ไคลแม็กซ์จริง ๆ เทศกาลตรุษจีน เริ่มตั้งแต่ก่อนวันตรุษจีน 2 วัน เรียกว่า “วันจ่าย” เป็นวันที่แม่บ้านพ่อบ้านต้องไปจับจ่ายหาซื้อเครื่องเซ่นไหว้ อาหารการกินเตรียมไว้ช่วงตรุษจีนที่ร้านรวงปิดกันเป็นส่วนใหญ่ พอถึงวันสุดท้ายของเดือน 12 ซึ่งนิยมเรียกว่า “ซาจับ” (三 十) แม้บางปีจะเป็นวันที่ 29 จะเป็น “วันไหว้” เริ่มกันตั้งแต่ช่วงเช้า จะเป็นการไหว้เจ้าที่ ( ตี่จู๋เอี๊ย ) ศาลพระภูมิ ไหว้บรรพบุรุษตอนสาย ตกบ่ายไหว้ “ หอเฮียตี๋ ” (好 兄 弟) ผี – วิญญาณไร้ญาติ สัมภเวสี ที่ล่องลอยไปมาคอยรับส่วนบุญ ซึ่งเป็นการ สะท้อนถึงจิตวิญญาณของชาวจีนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้กับวิญญาณคนตายที่ตนไม่รู้จัก จากนั้น ก็จะมีการแจกเงินก้นถุง แก่บรรดาลูกหลาน บริวาร ใส่ซองแดงเรียกว่า “ อั่งเปา ” ( 紅 包 )(เงินแต๊ะเอีย เงินโบนัส แล้วแต่จะเรียก ) แล้วกิจการงาน การค้าจะสะดุดอยู่ตรงนั้นไปอีกหลายวัน เงินอั่งเปานี้สมัยก่อน เด็ก ๆ จะได้สตางค์แดง หรือ สตางค์ดีบุก ตั้งแต่ 1 สตางค์ ไปจนถึง 20 สตางค์ ที่เป็นเหรียญมีรูตรงกลาง ร้อยด้าย - เชือกสีแดง ปัจจุบันเป็นแบ๊งค์สีต่าง ๆ ใส่อยู่ในซองสีแดงสดใส
“ ซาจับแม้ “ ( 三 十 夜 ) คืนวันสุกดิบ คืนวันสุดท้ายของเดือน 12 ต่อวันตรุษจีน “ชิวอิก ”(初 一)ซึ่งเป็น “ วันถือ ”หัวค่ำชาวจีนจะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย ไหว้พระไหว้เจ้า เตรียมตัวรอรับ “ ไฉ่สิ่งเอี๊ย ” ( 財 神 爺 ) เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย หรือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เทพเจ้าแห่งเงินตรา เพื่อความเป็นศิริมงคล มีความร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไปในปีใหม่
“ ชิวอิก ” เป็น “ วันถือ ” หรือ “ วันเที่ยว “ เป็นวันที่เขาถือกันว่าจะไม่ด่า ไม่พูดคำหยาบคาย ไม่นินทาว่าร้าย คิด ห้ามทวงหนี้ ให้ทำแต่สิ่งที่ดี พุดดี ใช้มธุรสวาจา พูดสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี ไม่ตีแม้แต่ลูก หลานที่ทำความผิด เวลาลูกหลานทำสิ่งของแตก ก็อาจจะพูดว่า อ้อ...ดีดี ชามมันอ้าออกเพื่อรับโชคลาภ เป็นต้น อาหารเช้าจะเป็นอาหารเจ1มื้อ หลังจากนั้น หมู เห็ด เป็ด ไก่บรรดามีที่ใช้ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษก็จะนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทานต่อไปอีกหลายวันโดยไม่ต้องออก ไปซื้อหา วันชิวอิก ถึง ชิวซา ( 初 三 ) หรือ ในระหว่างช่วงตรุษจีน ก็จะมีการไปมาหาสู่ในระ หว่างญาติมิตร ที่ไม่ได้พบกันมาตลอดทั้งปี หรือ ไปขอพรพ่อแม่ เป็นต้น เวลาไปเยี่ยมต้องนำ “ ไต่กิก “ ( 大 桔) ผลส้มไป 2 หรือ 4 ลูก หรือ ขอให้เป็นจำนวน “ คู่ “ และจะมีการแลกเปลี่ยนส้มกัน โดยผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านจะรับส้มไปครึ่งหนึ่ง หรือ ทั้งหมด และนำส้มในบ้านมาใส่กลับไปในจำนวนเท่า ๆ กัน เป็นการรับ-ส่งความสุขซึ่งกันและกัน เจ้าของบ้านจะเลี้ยงน้ำชาแกล้ม “ แต่เหลี่ยว หรือ ขนมจันอับ “ หรือ “ จับกิ้ม “ ( 什 錦 ) แก่ญาติมิตรที่มาเยี่ยมเยียนอวยพร วันตรุษจีนเป็นช่วงที่เด็ก ๆ จะชอบมากเป็นพิเศษ เนื่องจากได้ทั้งเงินแตะเอีย มีเครื่องแต่งกายใหม่ ๆ สีสันสดใส ยังได้ไปเที่ยวสนุกสนานตามแหล่งที่หมายตาไว้อีกด้วย สีเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเป็นสีที่เป็นมงคลเช่น สีแดง และไม่ใส่สีที่เป็นอัปมงคล เช่น สีดำเป็นต้น หากหลีกเลี่ยงได้จะไม่แตะต้องของมีคม เช่นมีด เข็ม เกรงว่าจะบาดนิ้ว บาดตัว เป็นการตัดโชคลาภของตนเอง และไม่ทำสิ่งของแตกหักเสียหายอันจะเป็นลางไม่ดี
หลังเยี่ยมญาติ ความสนุกสนานก็จะเป็นสิ่งที่เขาทำกันเต็มสติกำลัง บ้างก็ไปทำบุญทำทานตามศาลเจ้า โรงเจที่ตนนับถือ พากันถ่ายรูปกันทั้งครอบครัวเป็นที่ระลึก จนถึงชิวสี่ ( 初 四 )หรือ ชิวโหงว ( 初 五) จึงจะกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานทำการกันต่ออีก 300 กว่าวันเพื่อเก็บเงินเก็บทองไว้ฉลองตรุณจีนในปีต่อไป
“ ชิวสี่ “ วันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน ที่ส่วนใหญ่กำหนดให้เป็นวันเริ่มงาน เป็นวันที่ รับ “ เจ่าซิ้ง” เทพเจ้าเตาไฟ และ เทพเจ้าองค์อื่น ๆ กลับจากเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เรียกว่าวัน “ซิ้งเลาะที” ( 神 下 天 )
“ชิวฉิก” ( 初 七 ) วันที่ 7 ของเทศกาลตรุษจีน เป็นวันที่กำหนดให้มีการรับประทานอาหารประเภทผัก 7 อย่าง ที่เรียกว่า “ชิกเอี่ยไฉ่” (七 樣 菜 ) ซึ่งโดยมากจะเอาผักต่าง ๆ มาผัด หรือ ต้มจับไฉ่ ผักนานาชนิดที่นำมาเป็นเครื่องปรุงในวันนี้จะสรรค์หาผักที่มีชื่อ และความหมายที่เป็นมงคล อาจจะเปลี่ยนแปรไปบ้างแล้วแต่รสนิยม และ ความเชื่อ หรือ ผลิตผลในแต่ละท้องถิ่น บ้างก็ถือเอาวันที่ 6 เรียก “ หลักเอี่ยไฉ่ “แต่ในเมืองไทย ต้อง“ฉิกเอี่ยไฉ่“
ผักมงคล 7 อย่าง โดยมากจะประกอบด้วย
1. คึ่งไฉ่ 芹 菜 ไปพ้องเสียงกับ “ คึ้ง “ ( 勤 ) แปลว่ามีความเพียร วิริยะ ขยัน
2. ชุงไฉ่ 春 菜 พ้องกับคำว่า “ ชุง ” ( 春 ) ฤดูใบไม้ผลิ หมายถึงความสดชื่นมี ชีวิตชีวา อีกคำหนึ่ง 伸 ชุง แปลว่า ยืด หรือ ยื่นที่ถูกดึงไปเข้ากับความหมายว่า มีโอกาศยืดหน้า ยืดตากับเขาได้บ้าง
3. เก่าฮะ เก๋าฮะ 厚 合 ผักเขียว ๆ ใบหนา ๆ ความหมายคือ ความซื่อสัตย์ ความน่าเชื่อถือ เจ้าสาวที่แต่งงานไปในครอบครัวคนจีนที่ยังเคร่งอยู่ก็จะได้รับประทานผักตัว นี้ เพื่อให้ซื่อสัตย์ต่อสามี ส่วนคนไทยเชื้อสายจีน ดึงมาเป็นพวกเสียเลย เก๋าจึงเป็นศัพย์แสลง แปลว่า แน่ แปลว่า ผู้ชำนาญการ เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นศูนย์หน้าที่ “ เก๋าเกมส์ ” เป็นต้น แต่บางครั้งผัก เก๋าฮะ นี้ เขาก็ใช้ แป๊ะฮะ 百合 แทนก็มี ซึ่งก็แปลว่าเป็นผู้ที่เข้าได้กับทุกคน เข้าได้ กับทุกสถานะการณ์พ้องเสียงกับคำว่าสมานฉันท์ เข้าได้หมดไร้ปัญหา NO PROBLEM
4. สึ่ง 蒜 ต้นกระเทียม พ้องเสียงกับคำว่า “ สึ่ง “ ( 算 ) แปลว่า “นับ” คนจีนถือว่า คนนับเลขเป็นก็จะเป็นพ่อค้าพ่อขายจะร่ำรวย
5. ตั้วไฉ่ 大 菜 ผักกาดเขียว มีความหมายว่าใหญ่โต ยิ่งใหญ่
6. ไช่เท้า 菜 頭 เป็น “ อาเท้า “ เป็นหัวหน้า คือได้เป็น เจ้าคนนายคน หรือไปพ้องกับ “ไช้” ( 財 ) แปลว่า โชคลาภ มีลาภ
7. คะน้า 甲 藍 หมายถึงที่หนึ่งในตะกร้า คำว่า“ กะ”( 甲 )เมื่อไปผสมกับ คำว่าประเทศ หรือ โลก ก็แปลว่ายอดเยี่ยม เป็นที่หนึ่งในโลก จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผักตัวนี้
ชื่อผักชนิดต่าง ๆ ข้างต้น ต้องบอกไว้ในที่นี้ว่า เป็นเรื่องของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีอิทธิพลของความเชื่อของจีนแ ต้จิ๋ว เข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก เพราะบางชื่อหากผิดไปจากเมืองไทยแล้ว ชาวจีนอื่นเขาอาจมีผักตัวอื่น มาแทนกันการกำหนดให้รับประทานผัก 7 อย่าง น่าจะเป็นกุศโลบายของนักปราชญ์แต่โบร่ำโบราณ การที่จะบอกให้คนที่รับประทานหมูเห็ดเป็ดไก่ ร่ำสุรา มาตลอดเป็นเวลาหลายวัน ไปถ่ายท้องเสียบ้าง คงมีคนเชื่อยาก เลยหากลวิธีให้กินผักซึ่งมีกากใย มากจะได้มีสุขภาพดี เลยให้กำหนดเป็นอาหารผัก แต่แนะนำอย่างเดียวคงยากเลยลากบาลีเข้าวัดเสียเลยจะได้ขลัง ให้ออก ไปทางมงคลเสียบ้าง คนเราชอบอะไร ๆ ที่เป็นสิ่งดี ๆ จึงถือเป็นประเพณีที่ต้องกินผัก7 อย่างที่เป็นศิริมงคล กันมาตั้งแต่โบราณ
ช่วงปีใหม่จะมีวันสำคัญอีก 1 วันคือ “ชิวเก้า “ ( 初 九 ) ถือเป็นวันเกิดเทพยดาฟ้าดิน เรียกว่าวัน “ ทีกงแซ “ ( 天 公 生 ) ในคืนวันที่ 8 เรียกว่า “ชิวโป๊ยแม้” ( 初 八 夜 ) ช่วงเวลา
ใกล้เที่ยงคืนต่อวันที่ 9 มีพิธีบูชาดาวนพเคราะห์ หรือ ดาวประจำวันเกิด ในวันนี้บางแห่งจะมีการบูชาเทพยดาฟ้าดิน เพื่ออธิษฐาน หรือ “ บน “ ขอพรสะเดาะเคราะห์ในช่วงปีใหม่ ดังเช่น ที่ป่อเต็กตึ๊งจัดให้มีการลงชื่อ “พะเก่ง “ (拍敬)หรือ “ฮกเก่ง”( 福 敬 ) ในช่วงตรุษจีน จน ถึงวันง่วงเซียว ( แล้วจะต้องไป “แก้บน “ ในช่วงปลายปีประมาณเดือน 11 ที่ศาลเจ้าหลายแห่งจะจัดให้มีงิ้วแก้บน ที่เรียกกันว่า “ เสี่ยซิ๊ง “ เรียกว่า “ขอบคุณพระเจ้า” อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรก )พุทธศาสนิกชนจะทำบุญ และ เวียนเทียน เวียนธูป อธิษฐาน รอบอุโบสถ หรือ ศาลเจ้า 3 รอบ ตั้งจิตอธิษฐาน ระลึกพระคุณเทพยดาฟ้าดิน ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เช่น หลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ บางแห่งอาจมีการแจกของหวาน เป็นการเสร็จพิธี ใครที่ไปเที่ยวไกล ๆ ก็จะพากันกลับมาในวันนี้ วันชิวเก้า หรือ วันสุดท้ายของเทศกาลตรุษจีน ก็จะมีการทำบุญที่เป็นกิจกรรมของตรุษจีนไปจนถึงมืดค่ำ
อย่างไรก็ตาม งานเทศกาลตรุษจีนหาได้หยุดลงในวันที่ 9 ไม่ กิจกรรมทำบุญยังคงมีต่อเนื่อง แต่ไม่เอิกเกริก ตรุษจีนจะไปสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงในวันเทศกาล “ง่วงเซียว” ( 元 宵 ) หรือ เทศกาลชาวนา (พิธีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าเป็นพิธีของคนสังคมการเกษตรอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปฏิทินตามจันทรคติจีนนั้นมีชื่อเรียกว่า “หล่งและ” 農 曆 แปลตรงตัวว่า ปฏิทินการเกษตร ) เป็นวันที่ 15 ของเดือน 1 คือ “ เจียง้วยจับโหงว” ( 正 月 十五 ) แล้ว เพราะหลังจากนี้แล้ว ก็จะเป็นเวลาที่ต้องกลับไปทำนาในท้องไร่ท้องนา ศาล เจ้าต่าง ๆ จะมีการประมูลสิ่งของที่ ประธานจัดงานจัดหามา เพื่อนำเงินไปบูรณะศาลเจ้า หรือ นำไปทำทานต่อไป บางแห่ง ไม่มีการประมูลสิ่งของเช่นที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง ก็จะมีขนมหวาน น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลผสมถั่วลิสงปั้นเป็นรูปสิงโต สำหรับบูชาไว้บริการให้กับญาติโยมที่มาทำบุญ บ้างก็เอามาทำบุญเพิ่มขึ้นอีก 1 คู่จากที่ปีที่ผ่านมาได้รับขนมสิงโตไปบูชาที่บ้าน 1 คู่ เพื่อให้ศาลเจ้าไว้บริการให้ผู้ที่ประสงค์จะมาทำบุญ เป็นการหารายได้เข้าวัด เข้าศาลเจ้าอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งแล้วแต่นโยบายของแต่ละแห่ง หลังจากวัน “ง่วนเซียว 元 宵” ผู้คนที่ทำมาค้าขาย เป็นลูกจ้างก็จะเริ่มดำเนินกิจการค้ากันอย่างเต็มที่ เพราะเสร็จสิ้นกระบวนการของ “ตรุษจีน” แล้วโดยสมบูรณ์ บางแห่งจะมีงิ้วฉลองขึ้นปีใหม่ จึงจะถือว่าสมบูรณ์ก็มี
ขอบคุณข้อมูลจาก pohtecktung.org